เที่ยวญี่ปุ่น EP.1 เที่ยวโตเกียวด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน ไปเที่ยวครั้งแรก..วางแพลนด้วยตัวเอง วันเดียว (ก็ไม่พอ)
Tiewnaidee.com พาเที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวโตเกียว คาวากุจิโกะ และนิกโก้ ทริปนี้เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางไปญี่ปุ่น วางแพลนเองทั้งหมด วันแรก เที่ยวในเมืองโตเกียว (Tokyo – Japan) ไปวัดเซนโซจิ อากิฮาบารา ดูเทศกาลไฟ Roppongi Winter light illumination วันที่ 2 ไปคาวากุจิโกะ ดูภูเขาไฟฟูจิ (Kawaguchiko, Mt.Fuji) , วันที่ 3 กลับเข้าเมืองเที่ยวโตเกียวต่อ (เก็บตก) , วันที่ 4-5 เที่ยวเมืองมรดกโลก นิกโก้ (Nikko, Tochigi, Japan) รวมทั้งหมด 7 วัน 5 คืน ระหว่างวันที่ 15-21 พฤศจิกายน 2559 บินไปตามหาใบไม้แดงที่ญี่ปุ่น
ใน Blog นี้มีบอกการวางแผนการเดินทาง วางแพลนที่เที่ยวต่างๆ แพลนจองตั๋วรถไฟ – รถเมลล์ ไปญี่ปุ่นต้องเจออะไรบ้าง เตรียมเงินไปเท่าไหร่ดี ดูการเดินทางหน้างานอย่างไรไม่ให้หลง ถ้าพร้อมแล้วไปดู EP.1 เที่ยวโตเกียว วางแพลนด้วยตัวเอง นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินวันเดียว (คุ้มสุด) ! ถ้าพร้อมแล้วก็ออกเดินทางไปพร้อมกับเราเลยครับ รัดเข็มขัดแล้ว Take off ไปญี่ปุ่นกันเลย..
เริ่มต้นเลยเราวางแพลนซื้อตั๋วเครื่องบินกับทาง Air Asia X มา (บินตรงจากดอนเมืองไปนาริตะ โตเกียวเลย) ได้มาราคา คนละประมาณ 9,000 บาท (รวมไป-กลับ) (หาตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นราคาไม่แพง +โค้ดส่วนลดเพิ่มเติมได้ที่ Traveloka >> https://www.traveloka.com/th-th/flight-to-japan) โดยในทริปนี้ เราแลกเงิน Pocket money ไปคนละ 30,000 บาท ได้เป็นเงินเยนคนละประมาณ 97,000 ¥ (เยน) ที่แลกไปเท่านี้เพราะว่าเราเป็นสายเที่ยวไม่ค่อยได้ช็อปของหนักๆ เน้นไปทางของฝากและของกินมากกว่า
เครื่องบินออกเดินทางเวลา 10.45 (ดอนเมือง) ถึงโตเกียว แลนด์ดิ้งลง Narita Airport เวลา 19.00น. ใช้เวลาบินประมาณ 6 ชม. 15 นาที ผ่าน ตม. พิธีต่างๆ เสร็จก็ราวๆ ทุ่มกว่าๆ ได้คราวนี้หละของจริงละ หารถไฟเข้าเมืองกัน ซื้อตั๋วรถไฟ Keisei skyliner จ่ายเงินไป 2,470¥ (เยน) แปลงเป็นเงินไทยโดยประมาณ 760 บาท
รถขบวนนี้เป็นรถด่วน จอดบางสถานี แล้ววิ่งตรงเข้า Nippori เลย รถออกเวลา 20.15 ถึง Nippori เวลา 20.51 น.ตรงเวลาเป๊ะๆ (หารถไฟเข้าเมืองเว็บนี้เลยแนะนำ > www.hyperdia.com/en/ แล้วเพื่อความชัวร์เช็คใน Google maps อีกที)
บรรยากาศภายในขบวนรถมีที่ให้วางกระเป๋าเดินทางโดยเฉพาะด้วย (แค่ก้าวแล้วเข้าประเทศญี่ปุ่นก็ประทับใจแล้ว) วิ่งมาแปปๆ นึงประมาณ 40 นาทีก็ถึงที่ Nippori จากนั้นเราก็นั่งรถไฟต่อไปที่พัก โดยในวันนี้เราพักแถว Tamachi station เป็นที่พักเพื่อนๆที่ญี่ปุ่น (พัก 15-16 พ.ย. ประหยัดไปได้ 2 วัน ขอบคุณครับบ..)
แผนที่ที่เราวางแพลนการเดินทางจากสนามบิน อันดับแรกเช็ค Hyperdia ก่อนเลยว่ามีรถไฟเวลาไหนบ้างเลือกสถานีต้นทางและก็สถานีปลายทาง Hyperdia จะคิดคำนวนเส้นทางพร้อมราคาค่าตั๋วมาให้เสร็จสรรพ (สะดวกมาก) ต่อมาให้เช็ค Google maps ออกจากสถานีแล้วไปที่พักยังไงต่อดูทางออกจากสถานีคร่าวๆไว้เราใช้เวลาเดินแปปๆ เดียวก็ถึงที่พักแล้ว
มาถึงแลนดิ้งหิวๆ ไม่ได้กินอะไรเลยฝากท้องไว้ที่เซ่เว่นละกัน เซเว่นที่นี่มีเมนูเยอะมาก อันนี้เป็นข้าวแซลมอนกับข้าวหน้าหมูก้อนอะไรสักอย่าง (398 JPY + 380 JPY ) กินเสร็จก็ได้เวลานอน หมดวันเดินทางวันแรกไป 1 วัน
ตื่นเช้ามา วันที่ 2 วิวนอกอาคารเป็นแบบนี้เลยวิวสวยมาก มุมมองจากตึกแถวๆ Shibaura ในแพลนวันนี้เราจะไป “วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) ที่ Asakusa จากนั้นก็ไปเดินเล่นหยอดไข่กาชาปองแถวๆ Akihabara จากนั้นก็ไปชมวิวที่ตึก TOKYO METROPOLITAN GOVERNMENT BUILDING (จุดชมวิวฟรีๆ สำหรับนักท่องเที่ยว) จากนั้นก็ปิดท้ายเดินเล่นดูเทศกาลไฟที่ Roppongi Tokyo Illumination Midtown ปิดทริปโตเกียวใน 1 วัน
วันนี้เราออกจากที่พัก 7.00น. เดินทางจากที่พักไป Mita station (Metro) เพื่อไปลงสถานี Asakusa station
ที่เราเลือกเดินทาง Metro เพราะว่าเราจะซื้อบัตร One-day pass (ราคา ¥1,000/ต่อคน) ขึ้นลงใช้บริการ Tokyo metro ได้ไม่จำกัดภายใน 1 วัน จะได้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ส่วนหนึ่งเพราะว่าวันนี้เราไปกันหลายที่มากในโตเกียว
เดินมาประมาณซัก 10 นาทีได้ก็มาถึง Mita station นั่ง Metro สาย Asakusa line ไปลงสถานี Asakusa เลยใช้เวลาประมาณ 18 นาที
ถึงสถานี Asakusa แล้วก็เดินต่อไปวัดใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที ชมบ้านเมืองเขาเป็นระเบียบสะอาดตาดี
มาถึงแล้วก็รีบเดินเข้าไปในวัดก่อนเลยเช้านี้วันธรรมดา นักท่องเที่ยวเยอะมาก จุดแรกที่ควรไปถ่ายรูปคือโคมแดงแต่คนเยอะต้องรอต่อคิว เราเลยรีบเข้าไปไหว้พระด้านในก่อนเลย
มาถึงจุดตรงนี้เราก็เอาธูปมาไหว้ โดยกระถางธูปตรงนี้มีความเชื่อว่าไหว้เสร็จให้กวักๆ ควันเข้าหาตัวจะได้นำโชคลาภต่างๆเข้ามา
ธูปที่ญี่ปุ่นจะเป็นประมาณแบบนี้ครับ ไหว้เสร็จแล้วเราก็เดินเข้าไปไหว้พระด้านในแล้วก็ออกมาข้างนอกเลย
จุดที่ทุกคนต้องมาเช็กอิน คือร้านซาลาเปาทอดตรงทางเข้าวัดเลย เห็นคนแน่นๆ นั่นแหละ เป๊ะ! ชิมแล้วฟิน อร่อยดี เติมพลังยามเช้าแบบเบาๆ เสร็จแล้วเราก็ออกเดินทางไปย่าน Akahibara กันต่อเลยครับ
การเดินทางไปที่ต่างๆเราใช้ Google maps เป็นหลัก เสิร์จสถานที่ไปแล้วนำทางเลย เลือกการเดินทางโดยขนส่งสาธารณะ รถไฟฟ้าใต้ดินให้สังเกตคำว่า Metro ไว้ขบวนรถไฟของที่นี่เวลาแทบจะตรงกับ Google maps มาก เป๊ะๆเลย ส่วนซิมเน็ตครั้งนี้เราใช้ Sugoi sim เน็ตใช้ได้เร็วดี โอเคเลย ราคา 599 บาท 4G ไม่อั้น ซื้อแล้วได้บัตร Voucher Starbuck มาด้วย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับใครที่ไม่อยากพก Pocket wifi ให้ยุ่งยาก ต้องมาระวังแบตจะหมดฯ ระวังหายอีก แนะนำเลย ไปกัน 2 คน คุ้ม Activate ไม่ยุ่งยาก
ลงมา Tokyo metro ช่วงสายๆ คนไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ เลยพอมีเวลาถ่ายรูปให้ดูช่องใส่บัตร ถ้าเป็นบัตรเที่ยวหรือบัตรรายวัน ให้ใส่ที่ช่อง Ticket แล้วเดินผ่านไปรับบัตรได้เลย เดินผ่านเข้าไปสบายๆ แบบไม่มีไม้กั้นให้ยุ่งยาก ส่วนถ้าใครใช้บัตร Suica / Osmo pass ก็แตะที่ช่องสีน้ำเงินๆ มีบอกไว้ชัดเจน นักท่องเที่ยวเข้าใจง่าย ผ่านสบาย เดินออกไปอากิฮาบาระกันดีกว่า
เดินขึ้นมาด้านบนสังเกตเห็นว่าที่จอดรถในเมืองเขา ไม่มีจอดข้างทางฟรีๆ แบบบ้านเรา ต้องมีล็อค สถานที่จอดชัดเจน เสียเงินเท่าไหร่ก็ว่ากันไป เป็นระเบียบดีมาก ช่วยให้รถไม่ติดได้โอเคดีเลย
เดินๆมาถึง หิวๆ (มาก) เลยแวะกินข้าวเที่ยงที่ร้านนี้เลย มีทั้งเมนูข้าวและราเมง ดูราคาไม่แพงมาก เลยจัดไป
อาหารมื้อเที่ยงของเรา ราเมงญี่ปุ่นแท้ๆ จานใหญ่มากกินอิ่มจุกเลย เติมพลังเสร็จแล้วเราก็พร้อมไปละลายทรัพย์หยอดกาชาปองกันต่อเลย
ในร้านมีหลายตู้ หลายราคา คละแบบ ลองเดินดูหยอดไปหลายตัว แทบจะล้มละลาย
หลอดเหรียญครบตามจำนวนที่บอกในป้ายราคาแล้วก็บิดปุ่มกลมๆ เลย บิดยากนิดนึงต้องออกแรงหน่อยให้พอลุ้นว่าจะได้ตัวอะไร
เที่ยวโตเกียว ย่าน Arkihabara ยังมีพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องเล่นเกมส์ต่างๆ ให้ช็อปปิ้ง ใครมีเวลาว่างมาเดินที่นี่ย่านนี้เลยไม่ผิดหวังแน่นอน สำหรับทริปนี้เราหยอดกาชาปองได้แปปๆเดียวก็พอแล้ว..เราก็เดินทางไปชมวิวในเมือง Tokyo มุมสูงที่ Tokyo Metropolitan Government Building กันต่อเลย
บัตร VIP ของเราในวันนี้เดินทาง All pass ใน Tokyo metro 1 วันเต็มๆ หน้าตาเป็นแบบนี้เลย ใช้ได้ 1 วัน นับเวลาตั้งแต่เข้าระบบรถไฟครั้งแรก 24 ชม.
รถไฟที่ญี่ปุ่นจะแบ่งเป็นหลักๆ คือ JR กับ Metro ถ้าดูใน Google maps จะสังเกตเห็นชัดเจนเลยมีตัว JR สีเขียวๆ อันนี้ถ้าเราซื้อบัตรใต้ดิน Metro จะขึ้นไม่ได้
การเดินทางจาก Arkihabara ไป Tokyo Metropolitan Government Building ตึกที่ขึ้นไปชมวิวฟรีๆ ได้เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่ง ชม. กระโดดขึ้นรถใต้ดิน เวลาเราเสิร์ช Google maps ให้เสิร์ชสถานที่ที่เราจะไป จะมีขบวนรถไฟสายต่างๆ ขึ้นมาให้เลือก เราใช้เทคนิคเลือก Route ที่เปลี่ยนสายน้อยที่สุด ถ้าเวลาเดินทางไม่ต่างกันมาก หรือเปลี่ยนสายให้น้อยที่สุดจะได้ไม่งง
รถไฟที่ญี่ปุ่นระบบ Metro ถ้าเป็นวันธรรมดาต้องทำใจหน่อยช่วย Rush hour คนแน่นแน่นอน แต่ที่นี่คนเขาเป็นระบบระเบียบมาก ต่อแถวเข้าคิวรอแปปๆ เดียวรถไฟก็มาแล้วเรียกได้ว่าสะดวกมากเลย ไปครั้งแรกนี่อึ้งทั้งระบบคนเขา อึ้งทั้งระบบรถไฟที่ตรงเวลามาก นั่งได้แปปๆ เดียวก็มาลงสถานี Nishi-Shinjuku แล้วเดินต่ออีกหน่อยตามป้ายมาเลยประมาณ 700 เมตรก็ถึง
ขึ้นไปชั้น Observation deck เลย (ฟรี) วิวด้านบนสวยมาก เห็นตึกไกลๆ สุดลูกหูลูกตาเลย
สำหรับใครที่จะมีที่นี่ให้เช็คเวลากับทางเว็บนี้เลย > http://www.metro.tokyo.jp/ENGLISH/OFFICES/observat.htm ที่นี่จะเปิด-ปิด ในส่วนของฝั่ง North และ South เป็นเวลาต่างกันในแต่ละวัน..เราเดินถ่ายๆ รูปกันประมาณครึ่ง ชม. ก็ออกเดินทางไปที่ต่อไปกันดีกว่า
แวะออกมาด้านนอกเห็นข้างๆ ตึกมีสวน Shinjuku garden ด้วยเลยแวะไปเดินแปปๆ นึง เจอป้ายเตือนต่างๆ เป็นภาษาฤี่ปุ่นอย่างเดียวเลย ถึงกับงงว่ามันคืออะไร มีความสำคัญยังไง เลยหยิบมือถือขึ้นมาแปลเป็นภาษาอังกฤษซักหน่อย
สำหรับใครที่ไปเที่ยวแล้วกลัวจะอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก (ส่วนใหญ่ที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ จะมีภาษาอังกฤษอยู่ด้วย ไม่ต้องกลัว) ให้พกมือถือโหลด App Google translate (Android | iOS)ไว้เลย เปิดโปรแกรมนี้ขึ้นมาแล้วถ่ายรูปไปที่ที่เราต้องการจะแปล จากนั้นไฮไลท์ข้อความ โปรแกรมจะแปลออกมาให้เป็นภาษาอังกฤษเลย ช่วยได้เยอะเลย สรุปใจความในการแปลในครั้งนี้ได้ประมาณว่า “ไฟสปอทไลท์ที่ส่องสว่างนั้นเสีย เราต้องขอโทษในความไม่สะดวกด้วย” โอโห้ ใส่ใจสุดๆ เดินชมสวน Shinjuku garden กับอิ่มใจแล้วเราก็ไปดูเทศกาลไฟที่ Roppongi hills กันต่อดีกว่า เทศกาลไฟ Winter Illumination จะมีในช่วงฤดู Autumn ถ้าใครมาในช่วงนี้จะประดับไฟกันแทบจะทุกย่านท่องเที่ยว ขอบอกเลยว่าห้ามพลาด! (สวยงามมาก)
การเดินทางเราเลือกขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเช่นเคย ขึ้นจากสถานนี Tochomae station นั่งรถไฟสาย Oedo Line ผ่านสถานนี Shinjuku station..Yoyogi station..ประมาณ ครึ่ง ชม. ก็มาลงที่สถานี Roppongi station
ออกมาแค่นอกสถานีก็ต้องบอกว่าสวยมากแล้ว แถวๆ ย่านนี้เรียกว่า Roppongi Tokyo midtown เดินเล่นแปปนึง แล้วเดินต่อไปอีกนิดออกไปที่เขาจัดเทศกาลกันต่อเลย
จุดนี้เป็นจุดที่จัดเทศกาลไฟเดินถ่ายรูปเล่นกันเพลินๆ ขอบอกเลยว่าสวยมาก
เดินต่อมาด้านในอีกนิดโชคดีมาก มีจัดการแสดง Light and sound อยู่พอดี ขอบอกเลยว่าสวยมากก!
(คลิปวิดีโอสั้นๆ การแสดง Light & Sound ที่ Roppongi Midtown winter light illumination,Tokyo – Japan.)
จบการแสดงเราก็เดินต่อกลับไปรถไฟใต้ดินปิดทริปนี้ค่ำคืน (ที่โหดสุดๆ) มาวันแรกก็ลากถึงดึกเลย แต่ยังไม่สุดเราเห็น Tokyo tower อยู่ใกล้ๆ นี้อ้าวอยู่แถวๆนี้เองก็เลยนั่งไฟซะหน่อย ไหนๆ ก็มาแล้ว นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินแล้วเดินต่ออีกหน่อยก็ถึงเลย (เหนื่อยเอาเรื่อง ฮ่าๆ)
นั่งรถไฟ Tokyo metro จาก Roppongi station > Akabanebashi Station แล้วเดินขึ้นไป Tokyo tower กันต่อเลยขึ้นไปดูวิวเมืองตอนกลางคืนกันหน่อย
(Tokyo tower,Japan)
มาถึงเราก็ซื้อตั๋วขึ้นไปชมที่ Main Observatory Deck กันเลย บัตรผู้ใหญ่ราคา คนละ 900 JPY จ้า ซื้อตั๋วแล้วก็กดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบนเลย
ขึ้นมาชั้นบน Main Observation deck ก็เจอแบบนี้เลย ตึกรามบ้านช่องกับแสงไฟเมือง Tokyo ตอนกลางคืน สวยมาก!
เดินเพลินๆ แปปเดียวก็ 3 ทุ่มแล้ว ได้เวลากลับที่พักกันแล้วนอนพัก
ปิดท้ายการ เที่ยวโตเกียว ด้วยมื้อเย็นวันนี้ด้วยข้าวกล่องเซเว่นอีกแล้วจ้า..ปล.แพลนที่เราวางแพลนแน่นไปนิดนึง ไปที่นึงแล้วต่ออีกที่นึงเลย เลยไม่มีเวลาไปกินข้าวกันเลย สำหรับใครที่จะแพลนที่กินข้าว ต้องเผื่อเวลาไว้หน่อยนึง สำหรับเราเก็บตังค์ไว้กินมื้อหรูในวันต่อๆ ไปดีกว่า แล้วพรุ่งนี้เราจะออกไป Kawaguchiko กันเพื่อไปดูภูเขาไฟ Fuji โดยการเดินทางเราจะขึ้นรถ Bus ที่ Shinjuku bus station ไว้รอติดตามชมกันต่อไป
(View from Tokyo tower , Observation deck, Tokyo – Japan)
ถ้าใครที่ถูกใจรีวิวนี้ ฝากกดไลค์กดแชร์ เป็นกำลังใจกันด้วยจ้า ไว้จะมารีวิวให้ชมกันอีก
[เที่ยวไหนดี in Japan EP.1] เที่ยวโตเกียว ครั้งแรก..วางแพลนด้วยตัวเอง วันเดียว (ก็ไม่พอ)
แผนที่สถานที่ต่างๆ ที่เราท่องเที่ยวในโตเกียวครั้งนี้